เจ็บป่วยก็ต้องไปหาหมอ และหมอก็มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย เช่นเดียวกัน หากเราเกิดอาการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ตามในร่างกายก็ต้องไปหา “นักกายภาพ” เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำงานของร่างกายซึ่งจะช่วยทำกายภาพบำบัดให้แก่ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บได้ กายภาพบำบัด คืออะไร มีความสำคัญยังไง แนวทางการรักษาของนักกายภาพบำบัดมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลยค่าา
กายภาพบำบัด คืออะไร?
กระบวนการรักษาที่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อช่วยในการทำกายภาพบำบัดแก่ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ ช่วยการป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำอีก และช่วยทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ผู้เชี่ยวชาญที่ทำกายภาพบำบัดให้แก่เราจะเรียกว่า “นักกายภาพบำบัด” โดยนักกายภาพบำบัดในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจะมีเลขที่ใบอนุญาตที่ออกโดยสภากายภาพบำบัด
ใครบ้างที่ควรไปทำกายภาพบำบัด
เราจะนึกถึงการทำกายภาพบำบัดก็ต่อเมื่อได้รับการบาดเจ็บ หรืออาการบาดเจ็บเรื้อรังจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน นั่นแหละถึงเวลาที่นักกายภาพจะเข้ามาช่วยเราได้แล้ว ภาวะที่เราต้องพึ่งพาการทำกายภาพบำบัด ได้แก่
- ปวดหลังและปวดคอ โดยมีสาเหตุมาจากความผิดปกติที่กล้ามเนื้อและระบบโครงร่าง (กระดูก) เช่น ออฟฟิตซินโดรม
- มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก ข้อต่อ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น เช่น ข้ออักเสบ
- การช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อันเนื่องมาจากปัญหาเรื่องหัวใจ
- มีปัญหาเชิงกราน
- ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกจากการบาดเจ็บที่สมองหรือกระดูกสันหลัง
- กายภาพบำบัดอาการบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย
- กายภาพบำบัดหลังจากการผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก การตัดขา
วิธีการรักษาของนักกายภาพบำบัด
หากใครเคยไปหานักกายภาพบำบัดจะพบว่าอุปกรณ์การรักษาของเขามีเยอะแยะมากมาย เพราะการเจ็บป่วยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เครื่องมือที่ใช้จึงมีความแตกต่างกันไปด้วย วันนี้เราจะมาแนะนำคร่าว ๆ ว่าถ้าหากเรามีโอกาสได้ไปใช้บริการทำกายภาพบำบัด เราอาจจะได้รับการรักษาโดยใช้เครื่องมือใดบ้าง
1.การใช้มือ (Manual Technique)
เรียกได้ว่าเป็นหัตถการที่สำคัญมากของการทำกายภาพบำบัด การใช้มือดึง ดัด จัด กระดูกและข้อต่อ เพื่อให้กระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อและเส้นประสาทอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งเทคนิคการทำหัตถการด้วยมือนี้สามารถช่วยได้หลายอย่างเลย เช่น ช่วยขยับข้อต่อ ปรับแก้โครงสร้าง นวดกดจุด ลดอาการปวด และช่วยลดการตึงรั้งของผังผืด เป็นต้น
2.การกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical nerve stimulation)
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้ามีลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยม 4 แผ่น นำมาแปะบนร่างกายในบริเวณที่นักกายภาพบำบัดต้องการลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังผ่าตัด ป้องกันกล้ามเนื้อฝ่อลีบ เพิ่มความยืดหยุ่น กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
3.การอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound)
คือการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงลงไปสู่เนื้อเยื่อที่มีปัญหา ช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ ลดอาการเจ็บปวด ในระหว่างการทำอัลตร้าซาวด์อาจเกิดความรู้สึกปวดแบบทื่อ ๆ บริเวณที่โดนเครื่องอัลตร้าซาวด์ เป็นความเจ้บปวดในระดับที่ทนได้ แต่จะเจ็บมากยิ่งขึ้นหากบริเวณที่ทำมีปุ่มกระดูกอยู่
4.การฝังเข็ม (Acupuncture)
การฝังเข็มจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ช่วยทำให้ความเจ็บปวดที่รู้สึกมีความรุนแรงลดลง กล้ามเนื้อผ่อนคลาย กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
5.ฝึกออกกำลังกาย (Demonstration Exercise)
แน่นอนว่าคนที่จะช่วยทำให้เราหายได้เร็วที่สุดก็คือตัวเรานั่นเอง เราอาจไปพบนักกายภาพบำบัดแค่สัปดาห์ละครั้งหรือนานกว่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วนักกายภาพจะแนะนำท่าออกกำลังกายและฝึกสอนให้เราทำท่าอย่างถูกต้องก่อนจะปล่อยเรากลับบ้าน การฝึกออกกำลังกายด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้เราฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็วขึ้น
กายภาพบำบัด คือการฟื้นฟูร่างกายตามหลักการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งควรทำโดยนักกายภาพบำบัดที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องเท่านั้น การทำกายภาพบำบัดกับผู้เชี่ยวชาญให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจริง ๆ ค่ะ เขารู้ว่าควรจะกด คลำ ดึง ตรงจุดไหน ซึ่งเป็นศาสตร์คนละศาสตร์กับการนวดผ่อนคลายเลย เพราะฉะนั้นหากเรากำลังเผชิญกับปัญหาที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องคิดนานค่ะ นี่เลยยย ดีลคลินิกกายภาพบำบัดชั้นนำ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล คลิกเลยย
หากสาว ๆ กำลังหาโปรโมชั่นร้านนวดร้านดัง รีวิวแน่น พร้อมบริการ ฝังเข็ม ครอบแก้ว นวด นวดแผนไทย นวดน้ำมัน นวดอโรม่า นวดเท้า ออนเซ็น เลือกหาโปรโมชั่นดีๆจาก GoWabi ได้เลยค่ะ!
อ้างอิง